บทที่ 4 กฎหมายว่าด้วยสัญญา
สัญญาเป็นนิติกรรมอย่างหนึ่งประเภทนิติกรรมหลายฝ่าย ซึ่งเป็นนิติกรรมที่ประกอบ ด้วยบุคคลตั้งแต่ 2
ฝ่ายขึ้นไป ได้แสดงเจตนาถูกต้องตรงกันและก่อให้เกิดผลผูกพันตามกฎหมาย กล่าวคือ
ก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ระหว่างคู่สัญญา ตัวอย่างเช่น
สัญญาซื้อขายซึ่งเป็นข้อตกลงที่บุคคลฝ่ายหนึ่งเรียกว่า “ผู้ขาย” โอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่า
“ผู้ซื้อ” และผู้ซื้อตกลงว่าจะชำระราคาทรัพย์สินให้แก่ผู้ขาย
เป็นต้น
ลักษณะของสัญญา
สัญญาย่อมมีลักษณะสำคัญดังต่อไปนี้
1. ต้องมีคู่สัญญา
สัญญาเป็นนิติกรรมซึ่งมีบุคคลตั้งแต่
2 ฝ่ายขึ้นไปเข้ามาเกี่ยวข้อง
ฝ่ายหนึ่งคือผู้แสดงเจตนาโดยเสนอที่จะทำสัญญา เรียกว่า
“ผู้เสนอ” และอีกฝ่ายหนึ่งคือผู้ที่ตอบรับคำเสนอของผู้เสนอ เรียกว่า
“ผู้สนอง” คำว่า 2 ฝ่ายนั้น
มิได้หมายถึงบุคคลเพียง 2 คนเท่านั้นคู่สัญญาแต่ละฝ่ายอาจ ประกอบด้วยบุคคลมากกว่า 1
คนก็ได้
2. ต้องมีการตกลงกัน การแสดงเจตนาของทั้ง 2 ฝ่าย
ต้องถูกต้องตรงกันจึงจะเกิดสัญญาขึ้นได้ กล่าวคือ
ทั้งผู้เสนอและผู้สนองมีเจตนาตรงกันในการทำสัญญา
3. ต้องมีวัตถุประสงค์
การแสดงเจตนาของบุคคลในสัญญาต้องก่อให้เกิดผลผูกพันถูกต้องตามกฎหมาย ข้อนี้เป็นลักษณะสำคัญเช่นเดียวกับนิติกรรม กล่าวคือ ต้องมีเจตนาที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง
โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ ดังนั้น
การแสดงเจตนาที่มิได้ประสงค์ให้ผูกพันตามกฎหมายอย่างจริงจัง เป็นต้นว่า
การแสดงน้ำใจต่อกันตามมารยาทหรือเพียงล้อเล่น
ย่อมไม่ก่อให้ เกิดสัญญาแต่อย่างใด
เช่น
พ่อรับปากลูกว่าหากลูกสอบได้ที่
1 จะซื้อรถให้ หรือการพูดกับเพื่อนว่า เย็นนี้เลิกเรียนจะพาไปเลี้ยงอาหาร
ลักษณะเช่นนี้มิได้มีเจตนาจริงจังในอันที่จะก่อให้เกิดผลทางกฎหมาย
การเกิดของสัญญา
สัญญาจะเกิดขึ้นได้ต้องมีการแสดงเจตนาที่ถูกต้องตรงกันทุกฝ่าย
กล่าวคือ ฝ่ายผู้เสนอและฝ่ายผู้สนอง
1.
คำเสนอ
คำเสนอเป็นการแสดงเจตนาของผู้เสนอในอันที่จะทำสัญญากับอีกฝ่ายหนึ่ง
โดยการยื่นข้อเสนอให้อีกฝ่ายทราบด้วยข้อความที่ชัดเจนแน่นอนว่าผู้เสนอประสงค์สิ่งใด
เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งทราบแล้วและเข้าใจก็จะสนองตอบโดยเข้าทำสัญญาด้วย
หากคำเสนอไม่มีความชัดเจนเพียงพอ แม้อีกฝ่ายหนึ่งจะสนองรับคำเสนอ สัญญาก็อาจไม่เกิดขึ้น ลักษณะของคำเสนอมีดังนี้
1.1 เป็นนิติกรรมฝ่ายเดียวที่ต้องมีผู้รับการแสดงเจตนา
1.2 มีการแสดงเจตนาโดยชัดแจ้ง
1.3 ต้องมีข้อความชัดเจนแน่นอน มิฉะนั้นอาจเป็นเพียงคำปรารภหรือคำเชิญชวนเท่านั้น
1.4 เป็นการแสดงเจตนาต่อบุคคลโดยเฉพาะเจาะจงหรือต่อสาธารณชนก็ได้
คำสนอง
คำสนองคือ การแสดงเจตนาตอบรับคำเสนอ
ซึ่งผู้ได้รับคำเสนอตกลงที่จะทำสัญญาตามคำเสนอนั้น
คำสนองจะต้องมีข้อความที่ถูกต้องตรงกับคำเสนอในสาระสำคัญทุกประการ สัญญาจึงจะเกิดขึ้นได้
และคำสนองจะมีผลเมื่อผู้เสนอได้ทราบถึงคำสนองแล้ว ลักษณะของคำสนอง มีดังนี้
1.1 เป็นนิติกรรมฝ่ายเดียวที่ต้องมีผู้รับการแสดงเจตนา
1.2 เป็นการแสดงเจตนาตอบรับคำเสนอโดยชัดแจ้ง โดยปริยาย
หรือโดยการนิ่งก็ได้
1.3 ต้องมีข้อความที่ชัดเจนปราศจากเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลา
1.4 ต้องแสดงเจตนาต่อผู้เสนอเท่านั้น
ประเภทของสัญญา
สัญญาแบ่งออกได้หลายประเภท พอสรุปได้ดังนี้
1.
สัญญามีค่าตอบแทนและสัญญาไม่มีค่าตอบแทน
การแบ่งในลักษณะนี้ถือเอาค่าตอบแทนที่คู่สัญญาให้แก่กันเป็นข้อพิจารณาสัญญามีค่าตอบแทน หมายถึง
สัญญาที่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายต่างได้รับค่าตอบแทนจากอีกฝ่ายการตอบแทนนั้นอาจเป็นการตอบแทนด้วยเงิน ทรัพย์สิน
หรือการกระทำบางอย่างก็ได้
เช่น สัญญาซื้อขาย
ผู้ขายย่อมได้รับชำระราคาสินค้าเป็นค่าตอบแทน
ส่วนผู้ซื้อจะได้กรรมสิทธิ์ในสินค้านั้น
หรือการใช้บริการรถแท็กซี่ คนขับรถแท็กซี่จะได้รับเงินค่าโดยสาร
ส่วนผู้โดยสารจะได้รับบริการส่งไป ยังจุดหมายปลายทาง
หรือสัญญากู้ยืมเงินมีดอกเบี้ยเป็นค่าตอบแทน เป็นต้น สัญญาไม่มีค่าตอบแทน หมายถึง
สัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้รับประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียว โดยที่คู่สัญญาอีกฝ่ายไม่ได้รับประโยชน์อย่างใดจากสัญญา เช่น
สัญญาให้โดยเสน่หา
สัญญายืมทรัพย์หรือฝากทรัพย์ที่ไม่มีค่าตอบแทน เป็นต้น
2.
สัญญาต่างตอบแทนและสัญญาไม่ต่างตอบแทน
การแบ่งในลักษณะนี้เป็นการแบ่งโดยพิจารณาถึงหน้าที่ที่คู่สัญญาแต่ละฝ่ายมีต่อกัน
สัญญาต่างตอบแทน คือ
สัญญาที่คู่สัญญาแต่ละฝ่ายมีหน้าที่ที่ต้องทำให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง
หมายความว่า
ทั้งสองฝ่ายต่างมีหนี้ซึ่งกันและกัน และต่างเป็นลูกหนี้และเจ้าหนี้พร้อมกันไปในตัว เช่น
สัญญาซื้อขาย
ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต่างเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ซึ่งกันและกัน กล่าวคือ
ผู้ขายเป็น เจ้าหนี้ในฐานะที่มีสิทธิเรียกค่าสินค้าจากผู้ซื้อได้
และเป็นลูกหนี้ของผู้ซื้อในอันที่จะต้องส่งมอบสินค้าให้เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อ ส่วนผู้ซื้อ
ผู้ซื้อย่อมเป็นลูกหนี้ที่จะต้องชำระราคาสินค้าแก่ผู้ขาย
และเป็นเจ้าหนี้ในฐานะที่มีสิทธิขอให้ผู้ขายส่งมอบสินค้าให้แก่ตน นอกจากนี้ สัญญาอื่นที่เป็นสัญญาต่างตอบแทน
ได้แก่ สัญญาแลกเปลี่ยน
สัญญาให้ที่มีค่าตอบแทน
สัญญาเช่าทรัพย์
สัญญาเช่าซื้อ
สัญญาจ้างแรงงาน เป็นต้น สัญญาไม่ต่างตอบแทน
เป็นสัญญาที่ก่อให้เกิดหน้าที่แก่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่เพียงฝ่ายเดียว
โดยคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีฐานะเป็นเจ้าหนี้และคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งมีฐานะเป็นลูกหนี้
มิใช่ต่างฝ่ายต่างเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ซึ่งกันและกัน เช่น
สัญญายืมโดยไม่มีค่าตอบแทนเป็นหน้าที่ของผู้ยืมที่จะต้องคืนเงินหรือทรัพย์สินให้แก่ผู้ให้ยืม โดยที่ผู้ให้ยืมไม่มีหน้าที่ต้องตอบแทนผู้ยืมแต่
อย่างใด
หรือกรณีสัญญามีค่าตอบแทนแต่มิได้มีลักษณะเป็นการต่างตอบแทนกัน
ก็จัดว่าเป็นสัญญาไม่ต่างตอบแทน เช่น สัญญากู้ยืมเงินมีดอกเบี้ย เป็นต้น
3. สัญญาประธานและสัญญาอุปกรณ์
สัญญาประธาน
คือ สัญญาที่เกิดขึ้นและมีผลสมบูรณ์โดยไม่จำต้องอาศัยสัญญาอื่น ประกอบเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ใช้ได้ของสัญญา
เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่าทรัพย์
สัญญาประกันภัย สัญญากู้ยืมเงิน เป็นต้น
สัญญาอุปกรณ์ คือ
สัญญาที่มิอาจเกิดขึ้นและมิอาจมีผลสมบูรณ์ได้โดยลำพังแต่จะต้องอาศัยสัญญาอื่น ซึ่งเป็นสัญญาประธาน ดังนั้น
ความสมบูรณ์ของสัญญาอุปกรณ์ย่อมขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของสัญญาประธาน
เช่น
สัญญาค้ำประกันการกู้ยืมเงินจะมีขึ้นโดยลำพังไม่ได้เด็ดขาด
เพราะจะมีได้ก็จะต้องมีสัญญาประธานคือ สัญญากู้ยืมเงินเกิดขึ้นก่อน
4. สัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก
สัญญาประเภทนี้มีลักษณะพิเศษต่างจากสัญญาทั่วไป กล่าวคือ
สัญญาทั่วไปมีผลผูกพันและให้ประโยชน์เฉพาะแก่คู่สัญญาเท่านั้น
แต่สัญญาประเภทนี้จะกำหนดให้บุคคลภายนอกเป็นผู้รับประโยชน์ได้
โดยที่บุคคลผู้นั้นไม่มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาแต่อย่างใด เช่น
สัญญาประกันชีวิต เมื่อผู้รับประกันและผู้เอาประกันตกลงทำสัญญา
ผู้เอาประกันจะต้องระบุชื่อบุคคลภายนอกเป็นผู้รับประโยชน์เมื่อเกิดกรณีที่ผู้เอาประกันเสียชีวิต
เป็นต้น
ที่มา law.dpu.ac.th/upload/content/files/13.Doc
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น