วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

บทที่ 3 กฎหมายว่าด้วยนิติกรรม

นิติกรรม
             นิติกรรมถือเป็นเรื่องสำคัญและมีส่วนเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นสิ่งที่บุคคลใช้สร้างสิทธิและหน้าที่ต่อกันได้อย่างอิสระโดยสมัครใจภายใต้ขอบเขตที่กฎหมายกำหนด นิติกรรมถือเป็นพื้นฐานของการศึกษากฎหมาย โดยเฉพาะในเรื่องสัญญาต่างๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นสัญญาซื้อขาย สัญญาให้ สัญญาเช่า สัญญาจ้างแรงงาน จ้างทำของ การสมรส หรือสัญญาอื่นๆ ถือเป็นการทำนิติกรรมทั้งสิ้น 
"นิติกรรมนั้นเป็นเครื่องมือซึ่งกฎหมายมอบให้แก่บุคคล เพื่อใช้สร้างสิทธิและหน้าที่ผูกพันได้ตามความสมัครใจภายในขอบเขตแห่งกฎหมาย"
(ศาสตราจารย์ ศักดิ์ สนองชาติ คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา) 
ความหมายของนิติกรรม
             ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 149 "นิติกรรม หมายความว่า การใดๆอันทำลงโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลเพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ"
             ความหมายของนิติกรรมตามมาตรา 149 นั้น แยกสาระสำคัญออกมาได้ดังนี้
             1. เป็นการกระทำของบุคคลซึ่งได้แสดงออกให้ผู้อื่นได้รับรู้หรือเข้าใจความประสงค์หรือความต้องการของตน ซึ่งเราเรียกการแสดงออกนี้ว่า "การแสดงเจตนา"
             2. การกระทำนี้ต้องที่ชอบด้วยกฎหมาย คือการกระทำที่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด
             3. การกระทำนี้ต้องเกิดจากความสมัครใจของผู้กระทำ คือเกิดจากความตั้งใจ ความยินยอมของผู้กระทำนั้นเอง 
             4. ต้องกระทำโดยมีความมุ่งหมายที่จะผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล นิติสัมพันธ์คือความผูกพันกันตามกฎหมาย ดังนั้นการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลย่อมมีความหมายถึง การที่บุคคลเข้ามามีความผูกพันกันตามกฎหมายซึ่งเป็นความผูกพันที่เกิดขึ้นด้วยความประสงค์ของบุคคลนั้นๆเองและทำให้เกิดสิทธิและหน้าที่ต่อกัน ไม่ใช่เกิดจากการที่กฎหมายกำหนดความผูกพันนั้น เช่น ในเรื่องของบิดามารดาและบุตร กฎหมายกำหนดไว้ว่าบิดามารดาต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตร สิทธิและหน้าที่ดังกล่าวจึงเกิดขึ้นเนื่องจากกฎหมาย ไม่ใช่เกิดจากการที่บุคคลกระทำการโดยมุ่งหมายที่จะก่อให้เกิดความผูกพันตามกฎหมายด้วยตนเอง ฯลฯ 
หากการกระทำใดผู้กระทำไม่ได้มุ่งหมายให้เกิดความผูกพันตามกฎหมาย การกระทำนั้นก็ไม่ถือเป็นนิติกรรม เช่น การชวนไปเที่ยว ชวนไปดูหนัง หรือพูดจาล้อเล่นกัน การกระทำดังผู้กระทำไม่ได้มุ่งที่จะก่อให้เกิดความผูกพันตามกฎหมาย หากไม่ปฏิบัติตามที่ตกลงกันก็จำไปฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้
             5. ต้องเป็นการกระทำเพื่อให้เกิดการ "เคลื่อนไหวในสิทธิ" คือ ก่อให้เกิดสิทธิ เปลี่ยนแปลงสิทธิ โอนสิทธิ สงวนสิทธิ หรือระงับสิทธิ การเคลื่อนไหวในสิทธินี้อาจจะเป็นการเคลื่อนไหวในบุคคลสิทธิหรือทรัพยสิทธิก็ได้ การกระทำใดๆที่ไม่เกิดการเคลื่อนไหวในสิทธิ การกระทำนั้นย่อมไม่ใช่นิติกรรม 

ประเภทของนิติกรรม
             นิติกรรมสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่าเราจะพิจารณาด้านใด เช่น
             1. นิติกรรมฝ่ายเดียวกับนิติกรรมสองฝ่าย นิติกรรมฝ่ายเดียวคือการแสดงเจตนาของบุคคลฝ่ายเดียวซึ่งครบหลักเกณฑ์ตามมาตรา 149 ทำให้เกิดเป็นนิติกรรมและมีผลทางกฎหมาย เช่น การทำพินัยกรรม การรับสภาพหนี้ การปลดหนี้ ฯลฯ ส่วนนิติกรรมสองฝ่าย(หรืออาจจะเป็นหลายฝ่ายก็ได้)คือการการแสดงเจตนาโต้ของบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป(ฝ่ายหนึ่งอาจมีหลายคนก็ได้) ซึ่งก่อให้เกิดเป็นสัญญาประเภทต่างๆขึ้น การแสดงเจตนาโต้ตอบกันที่จะถือเป็นสัญญา(นิติกรรมสองฝ่าย)นั้น ต้องเป็นการยอมรับการแสดงเจตนาของกันและกันด้วย สัญญาจึงจะเกิด เช่น ก เสนอขายรถแก่ ข เช่นนี้ถือว่า การเสนอขายนั้นเป็นนิติกรรม (นิติกรรมฝ่ายเดียว) หาก ข ปฏิเสธ(ซึ่งถือเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียวเช่นกัน)ไม่ยอมซื้อแสดงว่าการแสดงเจตนาโต้ตอบนั้นไม่ตรงกัน สัญญาซื้อขายก็ไม่เกิด แต่ถ้า ข ตกลงจะซื้อ การแสดงเจตนาของทั้งคู่ถือเป็นการรับกัน สัญญาซื้อขายก็เกิดขึ้น(ทำให้จากนิติกรรมฝ่ายเดียวก็กลายเป็นนิติกรรมสองฝ่ายขึ้นมา) 
             2. นิติกรรมที่มีค่าตอบแทนกับนิติกรรมที่ไม่มีค่าตอบแทน เป็นกรณีที่พิจารณาถึงค่าตอบแทนเป็นหลักนิติกรรมที่ไม่มีค่าตอบแทนจะต้องเป็นนิติกรรมที่ทำให้เปล่า เช่น สัญญาให้ การทำพินัยกรรม สัญญาฝากทรัพย์โดยไม่มีบำเหน็จ ฯลฯ ส่วนนิติกรรมที่มีค่าตอบแทนนั้น ค่าตอบแทนอาจเป็นเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดก็ได้ เช่น สัญญาจ้างแรงงาน สัญญากู้ยืมเงินที่มีการคิดดอกเบี้ย สัญญาซื้อขาย ฯลฯ
             3. นิติกรรมที่ไม่มีแบบและนิติกรรมที่มีแบบ นิติกรรมที่ไม่มีแบบนั้นถือว่าเมื่อได้ทำนิติกรรมแล้วก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายทันที แม้จะไม่มีหลักฐานการทำสัญญาใดๆเลยก็ตาม และสามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ตามกฎหมาย เช่น สัญญาจ้างแรงงาน  สัญญาจ้างทำของ ฯลฯ ส่วนนิติกรรมที่มีแบบนั้นจะมีผลสมบูณ์ได้ก็ต่อเมื่อทำตามรูปแบบที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น เช่นสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ถ้าไม่ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดก็เป็นโมฆะ หรือสัญญาเช่าซื้อต้องมีการทำเป็นหนังสือสัญญามิเช่นนั้นจะเป็นโมฆะ ฯลฯ
          ที่มา  http://oknation.nationtv.tv/blog/knownledgelaw/2008/01/18/entry-1

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แบบฝึกหัดบทที่ 14

แบบฝึกหัดบทที่ 14  เรื่องกฎหมายโรงงาน และการจัดตั้งโรงงาน 1. โรงงานคืออะไร     ก . อาคาร สถานที่หรือยานพาหนะ     ข. ใช้เครื่องจัก...