บทที่ 10 การประกันด้วยบุคคลและทรัพย์
ลักษณะทั่วไปของสัญญาค้ำประกัน
1.
สัญญาค้ำประกันเป็นการประกันหนี้ด้วยบุคคล
ในลักษณะที่บุคคลภายนอกเข้ามาผูกพันตนกับเจ้าหนี้ว่าจะชำระหนี้ให้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระ
หนี้ตามสัญญาค้ำประกันเป็นหนี้อุปกรณ์ซึ่งต้องอาศัยหนี้ประธาน
คือหนี้ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้เป็นสำคัญ
2.
ตามหลักทั่วไปผู้ค้ำประกันมีความรับผิดไม่เกินความรับผิดของลูกหนี้โดยอาจจำกัดหรือไม่จำกัดความรับผิดก็ได้
และลูกหนี้ยังมีความผูกพันต้องรับผิดในหนี้อยู่
หากเจ้าหนี้บังคับชำระหนี้เอาจากผู้ค้ำประกันไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ของลูกหนี้ได้ทั้งหมด
สาระสำคัญของสัญญาค้ำประกัน
1.
สัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกเรียกว่าผู้ค้ำประกันผูกพันตนเองต่อเจ้าหนี้ว่าจะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น
2. สัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาที่ไม่ต้องทำตามแบบแต่อย่างใด
เพียงแต่หากจะมีการฟ้องร้องบังคับคดีเอาแก่ผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกันแล้ว
จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งอันมีข้อความแสดงว่ามีการค้ำประกันจริงโดยมีลายมือชื่อของผู้ค้ำประกันลงไว้เป็นสำคัญด้วย
3. หนี้ตามสัญญาค้ำประกันเป็นหนี้อุปกรณ์ซึ่งต้องอาศัยหนี้ประธาน
คือหนี้ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้เป็นสำคัญ หนี้ประธานต้องเป็นหนี้ที่สมบูรณ์
ซึ่งอาจเป็นหนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไขก็ได้
หากไม่มีหนี้ประธานหรือหนี้ประธานไม่สมบูรณ์แล้วสัญญาค้ำประกันก็มีขึ้นไม่ได้
4. หนี้ที่ลูกหนี้กระทำด้วยเหตุสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์
หรือเพราะเหตุไร้ความสามารถ ก็อาจมีการค้ำประกันอย่างสมบูรณ์ได้
หากผู้ค้ำประกันได้รู้ถึงเหตุบกพร่องดังกล่าวในขณะเข้าทำสัญญาผูกพันตน
ความหมายของสัญญาค้ำประกัน
สัญญาค้ำประกันคืออะไร
ในการทำสัญญาค้ำประกันนั้นจะต้องให้ลูกหนี้รู้เห็นยินยอมด้วยหรือไม่
สัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกผูกพันตนต่อเจ้าหนี้ในการที่จะชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระเป็นเรื่องที่มีหนี้ผูกพันกันอยู่ในระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้อยู่ชั้นหนึ่งแล้วเป็นหนี้ประธานแล้วจึงมีหนี้ระหว่างผู้ค้ำประกันกับเจ้าหนี้อีกชั้นหนึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์
ความรับผิดของผู้ค้ำประกันเป็นความรับผิดโดยตรงต่อเจ้าหนี้ที่จะชำระหนี้เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระ
และในฐานะที่เป็นผู้เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการที่จะต้องรับผิดเพื่อลูกหนี้จึงอาจชำระหนี้โดยขืนใจลูกหนี้ได้ตามหลักในมาตรา
314 อยู่แล้ว การทำสัญญาค้ำประกันจึงไม่ต้องอาศัยความรู้เห็นยินยอมของลูกหนี้เลย
และเมื่อผู้ค้ำประกันชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ไปแล้ว
ก็ย่อมรับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ไล่เบี้ยเอาจากลูกหนี้ได้ด้วยอำนาจของกฎหมายซึ่งบัญญัติรับรองไว้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้
สัญญาค้ำประกันต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
ที่ว่า
“สัญญาค้ำประกันต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน
จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีให้ผู้ค้ำประกันรับผิดได้” นั้นหมายความว่า
คำกล่าวนั้นหมายความว่า
สัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาที่กฎหมายไม่ได้บังคับว่าต้องทำตามแบบ ดังนี้
แม้คู่สัญญาอาจจะตกลงกันด้วยวาจาก็มีผลทำให้สัญญาค้ำประกันสมบูรณ์แล้ว
เพียงแต่หากว่าจะมีการฟ้องร้องบังคับคดีให้ผู้ค้ำประกันรับผิด
จะต้องมีหลักฐานแห่งการค้ำประกันเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันไว้เป็นสำคัญ
หากไม่มีหลักฐานดังกล่าวก็จะฟ้องร้องบังคับเอาแก่ผู้ค้ำประกันไม่ได้
หลักฐานเป็นหนังสือนั้นผู้ค้ำประกันจะทำไว้อย่างไรก็ได้และจะมีรูปลักษณ์เป็นหนังสือ
จดหมาย บันทึก หรืออะไรก็ได้ เพียงแต่ให้มีข้อความแสดงว่ามีการค้ำประกัน
และมีลายมือชื่อผู้ค้ำประกันก็เป็นการเพียงพอแล้ว
หนี้ประธานต้องเป็นหนี้ที่สมบูรณ์
“การค้ำประกันจะมีได้เฉพาะแต่เพื่อหนี้อันสมบูรณ์” หมายความว่าอย่างไร
หนี้ตามสัญญาหนี้ค้ำประกันเป็นหนี้อุปกรณ์ซึ่งต้องอาศัยหนี้
ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้อันเป็นหนี้ประธาน
ดังนั้นหนี้ประธานจึงต้องเป็นหนี้ที่สมบูรณ์มีผลบังคับผูกพันกันได้ตามกฎหมาย
สัญญาค้ำประกันอันเป็นหนี้อุปกรณ์จึงจะมีผลบังคับตามไปด้วย
หากหนี้ประธานไม่มีหรือไม่สมบูรณ์ด้วยเหตุอื่นตามบทบัญญัติของกฎหมาย การค้ำประกันก็จะเกิดขึ้นไม่ได้
ความรับผิดของผู้รับประกัน
1. ผู้ค้ำประกันมีความรับผิดที่จะต้องชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระ
โดยผู้ค้ำประกันอาจจำกัดหรือไม่จำกัดความรับผิดไว้ก็ได้
2. หากมีได้มีการตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น
โดยปกติลูกหนี้มีความรับผิดตามมูลหนี้ประธานอยู่อย่างไร
ผู้ค้ำประกันย่อมไม่ต้องรับผิดเกินกว่าความรับผิดของลูกหนี้นั้น
3. ในหนี้รายเดียวกัน
อาจมีผู้ค้ำประกันหลายคนก็ได้
และผู้ค้ำประกันเหล่านั้นต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้อย่างลูกหนี้ร่วมกัน
แม้ว่าจะมิได้เข้าค้ำประกันหนี้รายนั้นในเวลาเดียวกันก็ตาม
4. หนี้รายหนึ่งๆ
อาจมีผู้ค้ำประกันของผู้ค้ำประกันอีกชั้นหนึ่งก็ได้ เรียกว่าผู้รับเรือน
5. เมื่อเจ้าหนี้บังคับชำระหนี้เอาจากผู้ค้ำประกันไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ของลูกหนี้ได้ทั้งหมด
ลูกหนี้ยังคงต้องรับผิดในส่วนที่เหลือนั้น
ขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกัน
การค้ำประกันอย่างจำกัดความรับผิด
ทำให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแต่เพียงในขอบเขตที่ตนจำกัดความรับผิดไว้เท่านั้น
โดยอาจจะเป็นการจำกัดจำนวนหนี้ที่รับผิด จำกัดเวลาที่รับผิด
หรือจำกัดเงื่อนไขในการรับผิดอย่างไรก็ได้
แต่การจำกัดความรับผิดนี้จะต้องตกลงแสดงไว้อย่างแจ้งชัดในสัญญาค้ำประกัน
เพราะหากไม่ระบุไว้ชัด อาจต้องรับผิดโดยไม่จำกัดได้
การค้ำประกันโดยไม่จำกัดความรับผิดอาจเป็นเรื่องที่ผู้ค้ำประกันตกลงรับผิดโดยไม่จำกัดเอง
หรืออาจเป็นกรณีที่สัญญาค้ำประกันไม่ปรากฏชัดว่ารับผิดจำกัดอย่างไรก็ได้
การค้ำประกันโดยไม่จำกัดความรับผิด ทำให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดในหนี้ทุกอย่างที่ลูกหนี้จะต้องใช้คือนอกจากเงินต้นของหนี้แล้ว
ยังรวมถึงดอกเบี้ย และค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากการไม่ชำระหนี้ซึ่งลูกหนี้ค้างชำระ
ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้ด้วย แต่ไม่ว่าจะเป็นการค้ำประกันจำกัดหรือไม่จำกัดความรับผิดก็ตามผลที่สุดผู้ค้ำประกันก็ไม่ต้องรับผิดเกินความรับผิดของลูกหนี้ทั้งสิ้น
เว้นแต่จะมีการตกลงพิเศษยอมรับผิดเกินกว่าที่ลูกหนี้จะต้องรับซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ค้ำประกันยอมตกลงชดใช้เกินไปเอง
และไม่ว่าจะเป็นการค้ำประกันจำกัดหรือไม่จำกัดความรับผิด ผู้ค้ำประกันก็ยังคงต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมความซึ่งลูกหนี้จะต้องใช้ให้แก่เจ้าหนี้ด้วย
เว้นแต่เจ้าหนี้จะฟ้องคดีโดยมิได้เรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ก่อน
ผลและความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาค้ำประกัน
1.
เมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิทวงถามให้ผู้ค้ำประกันรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน
ทันที
แต่ผู้ค้ำประกันอาจใช้สิทธิยกข้อต่อสู้หรือเบี่ยงบ่ายให้เจ้าหนี้ไปบังคับชำระหนี้เอาจากลูกหนี้ก่อนได้
2.
ผู้ค้ำประกันซึ่งได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ไปแล้วย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากลูกหนี้
และรับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ในมูลหนี้นั้นได้ตลอดถึงประกันแห่งหนี้
แต่มีบางกรณีที่ผู้ค้ำประกันอาจเสียสิทธิไล่เบี้ยลูกหนี้หรือไม่อาจเข้ารับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ได้เช่นกัน
3.
สัญญาค้ำประกันย่อมระงับไปเช่นเดียวกับการระงับของสัญญาธรรมดาทั่วๆไป
หรือเมื่อหนี้ของลูกหนี้ระงับลงไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ ในบางกรณีผู้ค้ำประกันอาจหลุดพ้นความรับผิดเพราะเหตุสำคัญอันเกิดจากการกระทำของเจ้าหนี้ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น